วิกฤติภัยแล้งในปี 58 นี้ ไม่ธรรมดา เพราะนอกจากปริมาณน้ำในเขื่อนหลักทั่วประเทศจะมีปริมาณน้อยมาก ๆ แล้ว น้ำในแหล่งน้ำต่าง ๆ ทั่วประเทศก็แทบจะหมด แม่น้ำบางสายแห้งจนสามารถเดินข้ามกันได้เลยทีเดียว ด้านรัฐบาลสั่งห้ามทำนาต่อเนื่องมาตั้งแต่นาปรัง จนถึงนาปี
ไม่ปฏิเสธครับ ว่าข้าวเป็นพืชที่ใช้น้ำมากจริง ๆ ถ้าปล่อยให้ทำนาตามปกติ ปริมาณน้ำที่มีอยู่ไม่พอทำนาแน่ ๆ จะเกิดการแย่งน้ำกัน และกระทบถึงน้ำประปาที่คนเมืองพึ่งพิงอยู่ในชีวิตประจำวัน แต่สิ่งที่รัฐบาลต้องคิดแก้ไขมีหลายประเด็นด้วยกัน อาทิ
ประเด็นค่าชดเชย หรืออาชีพทดแทน คำกล่าวที่ว่าชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ เป็นคำพูดที่เอาไว้หลอกชาวนามานานปี เพราะถึงคราวเข้าจริง ๆ "คนดี" ไม่ได้เห็นใจชาวนา หรือให้ความสำคัญแต่อย่างใด ตั้งแต่เรื่องคัดค้านจำนำข้าวสารพัดวิธี ปิดล้อมธนาคาร กดดันไม่ให้กู้เงินมาจ่ายชาวนา ตัดไฟการประมูลข้าว พอน้ำแล้งก็บอกไม่ให้ทำนา ดังนั้น ต้องมีทางเลือกในการประกอบอาชีพให้กับเกษตรกรที่สามารถทำได้ไม่ยากนัก เหมือนอยู่ ๆ รัฐบาลมาบอกให้คุณเลิกทำงาน งดรับเงินเดือน คุณจะดำเนินชีวิตอย่างไร ? หรือจะจ่ายเงินชดเชย ก็ต้องมีความชัดเจน และทันท่วงที ไม่ใช่ให้รอไปเรื่อย ๆ โดยไร้จุดหมาย
ประเด็นความพร้อมในการรับมือของรัฐบาล จะเห็นได้ว่าสัญญาณแล้งมันมีมาตั้งแต่ปี 2557 แล้ว ซึ่งรัฐบาลเผด็จการทหารชุดนี้ยึดอำนาจมาตั้งแต่ 22 พ.ค. 57 อย่าได้ไปโทษรัฐบาลก่อนหน้า เพราะงบปี 58 อยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาลพลเอกประยุทธฯ ดูแล้วไม่ได้มีการประเมินกันล่วงหน้า ทำงานแก้ปัญหาเฉพาะหน้าตามสถานการณ์สไตล์รัฐข้าราชการ นี่ก็เพิ่งผุดงบประมาณห้าหมื่นล้าน เพื่อเจาะบ่อบาดาล มันจะทันมั๊ย ไหนว่าบริหารประเทศไม่เห็นจะยาก
ประเด็นความเหลื่อมล้ำทางสังคม ในขณะที่คนจนกลุ่มหนึ่งถูกห้ามใช้น้ำ เพื่อจะมีน้ำเพียงพอสำหรับปรนเปรอคนอีกกลุ่มหนึ่ง บอกให้คนจนกลุ่มหนึ่งหาที่กักเก็บน้ำเอง อย่ารอพึ่งรัฐ แต่คนอีกกลุ่มไม่ต้องทำเช่นนั้น อีกหน่อยถ้าอากาศไม่พอหายใจ คุณว่าคนกลุ่มไหนจะถูกสั่งห้ามหายใจล่ะ
คนเมืองที่เปิดก็อกน้ำ ก็มีน้ำสะอาดไหลแรงให้คุณได้ใช้ ก็ตระหนักถึงความเดือดร้อนของคนในพื้นที่ชนบทต้นน้ำ เขาต้องเสียสละให้คุณขนาดไหน ใช้น้ำกันอย่างประหยัดด้วยนะครับ