เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 58 ที่ผ่านมา ชาวพม่าได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งหลังจากปิดประเทศมานาน ชนชาวพม่าผู้ถูกเผด็จการทหารกดหัวมานานยี่สิบกว่าปี ประเทศไม่พัฒนา ความมั่งคั่งร่ำรวยกระจุกอยู่ในกลุ่มชนชั้นนำ คนส่วนใหญ่ของประเทศต้องดิ้นรนออกไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน
ก่อนหน้านี้ชาวกะลาแลนด์ดูถูกชาวพม่าว่าล้าหลัง ด้อยพัฒนา โง่เง่า เอามาเป็นแรงงานราคาถูก(จริง ๆ มันกูทำอย่างนี้กับประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ด้วย) ไม่สนใจว่าแรงงานเหล่านี้ก็เป็นมนุษย์ร่วมโลกคนหนึ่ง จนถูกคว่ำบาตรในเรื่องแรงงานประมงและการค้ามนุษย์จากอารยประเทศ
การเลือกตั้งครั้งนี้มีชาวพม่าออกไปใช้สิทธิมากมายถึง 80 % เรียกว่าต่อแถวยาวเหยียด ยืนรอการเลือกตั้งกัน 2 - 3 ชั่วโมงก็ไม่ถอย ผิดกับประเทศกะลาแลนด์ที่เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 70 % ส่วนเมืองหลวงกะลาแลนด์ แหล่งคนดีศรีประเทศ ศูนย์รวมผู้มีความรู้มากที่สุดในประเทศ มาเลือกตั้งกันเกินครึ่งไม่เท่าไหร่
พรรค NLD ของนางอองซาน ซูจี เชื่อว่าจะได้รับเสียงจากประชาชนจำนวนมาก แต่ถ้าจะถึงกับจัดตั้งรัฐบาลได้นั้น ต้องได้เสียงมากเกือบ 70 % เพราะรัฐธรรมนูญที่เขียนโดยเผด็จการทหารพม่านั้น มี สส. ที่เป็นทหารโดยการแต่งตั้งถึง 25 % รออยู่แล้ว ดู ๆ แล้วเผด็จการที่ไหน มันก็สันดานเดียวกันนะครับ
น่าสนใจว่าหลังจากนี้พม่า หรือ เมียนมา(Myanmar) จะพัฒนาไปในทางใด แน่นอนว่าประชาธิปไตยของพม่านั้น คงไม่ได้มาโดยง่าย เผด็จการทหารคงไม่ปล่อยมือจากอำนาจง่าย ๆ แต่หากการเมืองนิ่ง พม่าถือเป็นประเทศที่น่าลงทุนไม่น้อย เนื่องด้วยทรัพยากรในประเทศยังมีอยู่อีกมาก รวมทั้งแรงงานราคาถูกกว่า ส่วนกะลาแลนด์ ที่หลายโรงงานทยอยปิดตัว ถูกบอตคอตสินค้า ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า "เราจะทำตามสัญญา" นั้น มันเมื่อไหร่กันแน่ และจะต้องเสียภาษีบำเรอให้พวก "คนดี" ไปอีกเท่าไหร่ กว่าจะได้ประชาธิปไตย