ผลกระทบอันบัดซบของตุลาการวิบัติ !!

Sent
ศาลฎีกาได้กลับคำตัดสินของศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ที่พิพากษาจำคุก 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา และตัดสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี   แก่ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต. และ 3 อดีตกกต.ในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการจัดการเลือกตั้งใหม่รอบสอง ใน 38 เขต 15 จังหวัด เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 49
     โดยศาลฎีกาได้กลับคำตัดสินของศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ในคดีดังกล่าว ให้ยกฟ้องโดยชี้ว่าโจทก์"ถาวร เสนเนียม"ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง ที่จะมีอำนาจฟ้อง
     เอาเรื่องแรกก่อน คือการที่ว่า ผู้ฟ้องคือนายถาวร เสนเนียม  ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง  เป็นเหตุให้ยกฟ้อง  ตรงนี้คือพื้นฐานครับ ผู้ฟ้อง หรือผู้เสียหาย ต้องถูกตัว  เป็นหลักการง่าย ๆ ที่จะเริ่มต้นกระบวนการยุติธรรม  แต่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์  กลับมองข้ามประเด็นสำคัญนี้ไปอย่างไม่น่าเชื่อ  และกลับลงโทษอย่างรุนแรงถึง 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา
     เรื่องต่อมา คือ กระบวนการที่โคตรล่าช้า กว่า 7 ปี ที่ต้องสู้คดี(เฉพาะศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา)  ท่านคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "ความยุติธรรมที่ล่าช้า มันคือความไม่ยุติธรรม"  กลายเป็นว่าบรรดาการทำหน้าที่ของผู้พิพากษา ไม่มีกรอบเวลากำหนด ว่าจะต้องแล้วเสร็จในแต่ละขั้นตอนใช้เวลากี่เดือน กี่ปี  ดูอย่างคดีสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่รู้ว่าบรรดาคดีที่อยู่ทั้งศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ทั่นจะตัดสินกันชาติไหน
     คงจำกันได้ช่วงปี 49 กกต. ชุด พล.ต.อ.วาสนาฯ ถูกกดดันอย่างหนัก จากการบอยคอตการเลือกตั้งของ พรรคประชาธิปัตย์  และการเสนอขอนายกมาตรา 7 ของพวกไม่เอาการเลือกตั้ง  มีการพูดถึง กกต. ดังกล่าวว่าให้ลาออก เพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้ง  หากไม่ลาออกจะติดคุก  แล้วก็มีคนลาออกจริง ๆ  ส่วนคนที่ไม่ลาออกก็ติดคุกจริง ๆ  จนทำให้การเมืองถึงทางตัน และเกิดการรัฐประหารในที่สุด
     บรรดาตุลาการ ที่ผันตัวเองมาอยู่ในองค์กรอิสระต่าง ๆ ยิ่งหนัก  โดยเฉพาะพวกที่มาจากการรัฐประหาร  ได้ลากเอาสถาบันตุลาการ เข้ามา และแสดงออก หรือตัดสินอย่างมีอคติ , สนับสนุนการรัฐประหารอย่างชัดเจน , ร่างรัฐธรรมนูญเอง ใช้เอง , เปิดพจนานุกรมตัดสิน , สุกเอาเผากิน , ทำตัวเหนือรัฐธรรมนูญ ฯลฯ   จนบัดนี้ไม่เหลือองค์กรอะไรให้เชื่อถือ ศรัทธากันอีกแล้ว  จะเอาแบบซีเรียอย่างนั้นหรือ ?