ข้าวลายจุด ระบบขายข้าวครบวงจร

Sent
จากเงินเริ่มต้นเพียงหลักหมื่นในการซื้อข้าวหอมปทุม จากชาวนาเกวียนละ 15,000 บาท  แล้วนำมาสีและบรรจุถุงจำหน่าย ถุงละ 5 กิโลกรัม ในราคา 200 บาท ในชื่อ "ข้าวลายจุด" เป็นโครงการของ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด  นักกิจกรรมผู้เคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย  เพื่อช่วยเหลือชาวนาในยุคราคาข้าวตกต่ำ  ในขณะที่รัฐบาลเผด็จการทหาร จ่ายเงินให้ไร่ละพันบาทแค่นั้น

     นับว่าเป็นการพิสูจน์ระบบการผลิตข้าวสารถุงครบวงจร  ว่าการซื้อข้าวมา 1 ตัน  นำมาสี บรรจุถุง จะจำหน่ายได้ในราคาเท่าใด มีกำไรเท่าใด  และที่ผ่านมาราคาข้าวเปลือกตกต่ำ  แต่ราคาข้าวถุงไม่ลด มีแต่แพงขึ้น  เงินมันไปเข้ากระเป๋าเศรษฐีคนใด  กลุ่มใด  และแม้ว่าจะขายข้าวหอมปทุม ในราคาที่แพงกว่าท้องตลาด แพงกว่าไม่มาก เมื่อเทียบกับต้นทุนข้าวเปลือก ที่รับซื้อในราคาแพงกว่าท้องตลาดเกือบ 2 เท่า!  และขายในวงแคบ ๆ  กลับมีผู้สนใจซื้อจนผลิตไม่ทัน


     รัฐบาลแทนที่จะนำแนวทางดังกล่าวไปต่อยอดเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร  เนื่องจากมีคนที่ตั้งใจซื้อของแพงกว่าอีกเล็กน้อย  แต่ได้ช่วยเหลือเกษตรกร เขาก็เต็มใจ   แต่สิ่งที่ทำ กลับให้โฆษกผังล้มเจ้า  ออกมาสำรอกขู่นายสมบัติฯ ว่าจะปรับทัศนคติ  ส่งทหารไปกดดันโรงสี ร้านค้า ให้เกิดความกลัว ไม่กล้าจะร่วมโครงการ   แต่กลับกลายเป็นว่า  ยิ่งตีข่าว  ยิ่งเป็นการโฆษณาให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างยิ่งขึ้น  มีผู้สนใจสั่งซื้อมากขึ้น จากทั่วประเทศ(งั่งจริง ๆ 55)  ใครสนใจก็ติดต่อสอบถามกันได้ที่เบอร์ตามรูปเลยครับ  พิสูจน์ไปเลยว่าระบบนี้มันทำได้จริง และยั่งยืน  จะได้ขยายต่อยอดเป็นแนวทางไปยังกลุ่มเกษตรกรต่าง ๆ ที่ถูกพ่อค้าข้าว โรงสี เอาเปรียบมานาน

     ด้านล่างนี้เป็นบทสัมภาษณ์ บก.ลายจุด ทำให้เราได้รู้แนวคิดของการทำโครงการ  และได้รับรู้ต้นทุนในขั้นตอนต่าง ๆ อย่างชัดเจน ลองอ่านกันดูครับ

Oak Panthongtae Shinawatra
"ข้าวสาร ลายจุด" กำลังดัง 
"พานทองแท้" เลยขอเกาะกระแส 
สัมภาษณ์ บก.ลายจุด ด้วยตัวเองเลยครับ..!!

พี่หนูหริ่ง(สมบัติ บุญงามอนงค์) หรือที่หลายคนเรียกว่า บก.ลายจุด ได้เปิดใจถึงเหตุผลที่รับซื้อข้าวจากชาวนาเกวียนละ 15,000บาท ไว้อย่างน่าสนใจดังนี้

ตั้งแต่คสช.เข้ามาปกครองประเทศ ตนเองถูกจับกุมตัวไปปรับทัศนคติ ถูกอายัดบัญชีธนาคาร ทำให้ไม่สามารถเบิกเงินออกมาใช้ได้ ตนเป็นหัวหน้าครอบครัว ซึ่งมีอีกหลายชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ จำเป็นต้องประกอบอาชีพเพื่อมาหาเลี้ยงครอบครัว

ในฐานะที่ตนเองเป็น NGO ทำงานเพื่อสังคมมาโดยตลอด เมื่อจะหารายได้จากการค้าขาย จึงคิดที่จะขายของที่เป็นการช่วยเหลือสังคมไปด้วย เมื่อทราบว่าปัจจุบันพี่น้องชาวนายากลำบาก ขายข้าวไม่ได้ราคา เมื่อลองศึกษาดูโครงสร้างราคาข้าว พบว่าชาวนาซึ่งเป็นผู้ที่เหนื่อยยาก ลำบากที่สุดในวงจรการผลิตข้าว กลับเป็นผู้ที่ถูกพ่อค้าคนกลางเอาเปรียบ แทบไม่เหลือกำไรจากการปลูกข้าวเลย เมื่อคิดจะขายข้าวบก.ลายจุดจึงได้คำนวนราคาซื้อ-ขายข้าว ออกมาแบบนี้ครับ...

ถ้าตนซื้อข้าวจากชาวนาตันละ 15,000 บาท 
นำมาสีเป็นข้าวขาวมีค่าใช้จ่ายตันละ 1,100 บาท 
จะได้ข้าวสารมาขายทั้งสิ้น 460 กิโล
ที่เหลือเป็น ปลายข้าว แกลบ และรำข้าว ซึ่งขายรวมๆกันได้ 3,500 บาท

เท่ากับตนได้ข้าวสารมา 460กิโล 
ด้วยต้นทุน 15,000 + 1,100 - 3,500 = 12,600บาท 
นำมาบรรจุถุง ถุงละ5กิโล คิดค่าใช้จ่ายรวมค่าขนส่งทั้งสิ้นถุงละ 10บาท(ตกกิโลละ2บาท) รวมเป็นต้นทุนการผลิต 13,520 บาท 
เมื่อนำข้าวมาขายถุงละ200 บาท จะได้เงิน 18,400 บาท 
คงเหลือเป็นกำไร 18,400 - 13,520 = 4,880บาท

บก.ลายจุดบอกว่ากำไร เกือบ 5,000บาทต่อข้าวเปลือก 1เกวียน ตนก็อยู่ได้สบายๆแล้ว จะต้องไปเบียดเบียนชาวนา ด้วยการกดราคาทำไม แต่ในระบบค้าข้าวที่รัฐบาลไม่ช่วยเหลือชาวนานั้น พ่อค้าคนกลางได้กำไรเกิน10,000 บาท ในขนะที่ชาวนาผู้ยากลำบาก เหลือกำไรเกวียนละไม่กี่ร้อย บางครั้งถึงกับขาดทุน

การค้าขายแบบที่ บกลายจุดทำนี้ ในประเทศที่เจริญแล้วเค้าเรียกว่า Fair Trade ครับ เค้าจะระบุเลยว่าสินค้าตัวนี้ ซื้อจากชาวไร่ชาวนา มาในราคาที่เป็นธรรมเท่านี้ๆ และนำมาขายให้ผู้บริโภคราคานี้ เมื่อคำนวนออกมา เงินกำไรที่ได้จะกระจาย ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงมือผู้บริโภคอย่างเป็นธรรม นอกจากภาครัฐไม่ควรขัดขวางแล้ว ยังควรจะต้องสนับสนุนให้มีการค้าขายแบบ Fair Trade นี้เยอะๆเลยด้วยซ้ำ

สุดท้าย พี่หนูหริ่ง ฝากมาว่า

รัฐบาลควรจะคืนความสุขให้กับชาวไร่ชาวนา 
ด้วยการไปไล่จับคนที่กดราคาสินค้าเกษตรให้ตกต่ำ 
มากกว่ามาไล่จับ คนที่ให้ราคาที่เป็นธรรม แบบนี้นะครับ..!!

ปล.ติดตาม กดไลค์ ให้กำลังใจ บก.(ข้าว)ลายจุด ได้ที่นี่ครับ